Terminator: Dark Fate (2019) เข้าฉายแล้ววันนี้
• พอเจมส์ คาเมร่อน กลับมาคุมงานที่เขาให้กำเนิด ก็เหมือนเป็นการชุบชีวิต Terminator ให้กลับมาโลดแล่นได้สำเร็จอีกครั้ง
• แทบจะคืนสู่รากเหง้าหนังแอ็คชั่นแบบยุค 80's ทั้งเรื่องไม่ต้องสนใจบทมาก ไปดูแอ็คชั่นแบบไม่มีพักหายใจตั้งแต่ต้นจนจบ ในโปรดักชั่นจัดหนักเทคนิคพิเศษแบบหนังยุคใหม่
• เอาจริง ๆ มันแทบจะไม่เกี่ยวข้องกับ Terminator 2: Judgment Day มากขนาดบังคับดู (ซึ่งดีสำหรับการเปิดตลาดใหม่) ต่อให้ไม่เคยดูก็ยังสนุกได้อยู่
• แต่อาจจะไม่อินกับประโยคคลาสสิกของหนังชุดนี้ ทั้ง Come with me if you want to live. และ I’ll be back.
-------------------------------------
การโปรโมท Terminator: Dark Fate ชวนให้นึกถึง Aquaman มาก ๆ พูดกันตามตรงแล้วต้องบอกว่าแฟรนไชส์ Terminator ไม่ใช่หนังชุดที่ประสบความสำเร็จมากเท่าที่สตูดิโอคาดหวัง ตัวบ่งชี้ชัดเจนคือสุดท้าย Terminator Genisys ก็เป็นหนังคว่ำแห่ง Box Office แต่ด้วยชื่อชั้นคนเหล็กมันยังพอขายได้อยู่ การที่ CEO ของ Skydance Media ตัดสินใจดึงเจมส์ คาเมร่อน กลับมาทำต่อจึงเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะคงไม่มีใครเข้าใจหนังชุดนี้ได้ดีไปกว่าคนให้กำเนิด เพียงแต่คาเมร่อนเลือกจะไม่สานต่อเรื่องราวจาก Genisys ตามที่สตูดิโอวางแผนไว้ แต่เลือกจะกลับไปสานต่อจาก Judgment Day โดยแกล้ง ๆ ลืมไปว่าโลกนี้เคยมีภาค Rise of the Machines และ Salvation มาก่อน แต่นั่นแหละ คาเมร่อนและสตูดิโอยังต้องสู้กับความไม่ไว้วางใจของคนดูอยู่ดี
.
สิ่งที่เรานึกถึง Aquaman คือ ตอนนั้น DC กำลังย่ำแย่จากกระแสลบของ Justice League อยู่ ทั้งรายได้และคำวิจารณ์พังมาก ทำให้ตอนโปรโมท Aquaman จึงต้องขนแทบจะทุกอย่างในหนังออกมาขาย กระทั่งตัดฉากเด็ด 5 นาทีออกมาโปรโมทเพื่อโชว์งานแอ็คชั่นด้วยซ้ำ ก่อนจะประสบความสำเร็จด้านรายได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับ Terminator: Dark Fate ที่เลือกจะตัดฉากแอ็คชั่นไล่ล่าบนทางด่วนออกมาขายในโรง IMAX เพื่อโชว์ว่าหนังไม่ได้มาเล่น ๆ ซึ่งเราก็ยืนยันเช่นนั้นว่าฉากแอ็คชั่นในหนังจัดเต็มมาก ที่ชอบคือมันมาแบบแทบไม่ต้องพักหายใจกันเลยทีเดียว มีเบรคไปบิ๊วความเข้มข้นช่วงกลางเรื่อง นอกนั้นจัดหนักยิงยาว
.
พล็อตมันไม่มีอะไรเลย แค่โลกอนาคตส่งหุ่นรุ่นใหม่ 'เรฟไนน์' (Gabriel Luna) ย้อนเวลามาสังหาร 'แดนี่' (Natalia Reyes) แต่เช่นเดียวกันที่โลกอนาคตก็ส่ง 'เกรซ' (Mackenzie Davis) คนดัดแปลงร่างกายเป็นหุ่นย้อนเวลากลับมาปกป้องเป้าหมายเช่นกัน ทั้งเรื่องจึงเป็นหนังไล่ล่าที่ฝ่ายถูกล่าความสามารถเป็นรองหลายขุม
.
ถ้านับฉากแอ็คชั่นใหญ่ ๆ แล้วเหมือนจะจัดหนักแค่สองรอบ คือตอนต้นเรื่องกับตอนท้ายเรื่อง แต่ความจัดหนักของหนังคือความต่อเนื่องจากจุด A ไป B ที่ยิงยาวได้สนุกสุด ๆ อย่างฉากเปิดมาสู้กันในโรงงานจบปุ๊บไปต่อกันบนถนนได้เดือดสุด ๆ เราชอบการโชว์ฉากต่อสู้ระยะประชิดที่ดูเป็นคนเหล็กสู้กัน มันมีการใช้ของหนักในโรงงานเป็นตัวช่วยต่อสู้ มีโชว์ลูกพริ้วคล่องแคล่วลื่นไหลของมนุษย์ดัดแปลงที่ต้องต่อกรกับจักรกลที่ว่องไวไม่แพ้กัน พอมาลูกเล่นนี้เลยรู้สึกถึงความหนักในการสู้มากกว่าเวลาดูหนังคน vs. คน เช่นเดียวกับฉากไล่ล่าบนทางด่วนที่ไม่ต้องกังวลกายภาพของมนุษย์มากนัก เลยเป็นโอกาสที่หนังจะได้สร้างความแตกต่างออกมาจาก car chase ในเรื่องอื่น ๆ ซึ่งหนังก็ทำแบบนี้ไปถึงฉากไล่ล่ายาว ๆ ตอนท้ายเรื่อง ฟีลตายยากตายเย็นและต้องหาทางหยุดเจ้าเรฟไนน์นี่สนุกจริง ๆ
.
ส่วนดีอีกอย่างของภาคนี้คือช่วงพักหายใจหายคอตอนกลางเรื่อง หนังสามารถสร้างอารมณ์ร่วมบางอย่างที่ทำให้ตัวละครไม่แข็งและแห้งแบบหุ่นยนต์ในภาคก่อน ๆ ตั้งแต่การที่เลือกให้ เกรซ เป็นมนุษย์ดัดแปลงร่างกายมาสู้กับหุ่นยนต์ที่รับคำสั่งอย่างเดียว เช่นเดียวกับบทของ อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ ที่ดูจะได้รับความใส่ใจจากทีมเขียนบทจนทำให้เรารู้สึกเอาใจช่วย ไม่ใช่สนุกไปกับแค่การไล่ล่าและภารกิจปกป้องคนสำคัญ
.
เอาเป็นว่าเชียร์ให้คอหนังแอ็คชั่นห้ามพลาดจริง ๆ
Director: Tim Miller (ผู้กำกับ Deadpool)
story: James Cameron, Charles H. Eglee, Josh Friedman, David S. Goyer, Justin Rhodes
screenplay: David S. Goyer, Justin Rhodes, Billy Ray
Genre: action, adventure, sci-fi
7.5/10